คนส่วนมักจะไม่ค่อยวางแผนไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในช่วงหน้าร้อนกันสักเท่าไหร่
เพราะคิดว่ามันคงร้อนเกินไป และไม่น่าเที่ยวเท่าไหร่
แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรอ? มันร้อนขนาดนั้นเลยหรอ?
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าจริงๆแล้วฤดูร้อนเป็นฤดูท่องเที่ยวของคนญี่ปุ่น เป็นฤดูกาลแห่งเทศกาลอย่างแท้จริง
หากไปเที่ยวในช่วงนี้ นอกจากเราจะสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลได้อย่างฟรีๆแล้วนั้น เรายังสามารถเดินถ่ายรูปสวยๆไปกับเครื่องประดับต่างๆ ที่สถานที่ท่องเที่ยวมากมายนำมาตกแต่งเพื่อให้เข้ากับงานเทศกาล
เรามาดูกันดีกว่าว่าเราควรไปเที่ยวที่ไหนดีบ้างในช่วงหน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่น
Contents
ร้อนแค่ไหน?
ก่อนอีกเลย เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่าประเทศญี่ปุ่นในช่วงหน้าร้อนนั้นมันร้อนแค่ไหน
หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาว่าประเทศญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคมนั้นร้อนกว่าบ้านเราเสียอีก
จริงๆแล้วนั้นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกส่วนตัว แม้อากาศจะร้อน แต่ก็ไม่ได้ร้อนเหมือนหน้าร้อนของบ้านเรา
โดยเฉลี่ยแล้ว อุณหภูมิในช่วงหน้าร้อนของประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 25-26 องศา หากเป็นที่เกาะฮอกไกโดนั้น อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเท่านั้นเอง
สาเหตุที่คนส่วนมากรู้สึกว่าหน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่นนั้นร้อนกว่าหน้าร้อนบ้านเรา ก็เพราะว่าเวลาเราไปเที่ยว เราต้องออกข้างนอกและเผชิญแดดมากกว่าเวลาที่เราอยู่ที่ประเทศไทย
ถ้าเราอยู่ในประเทศไทยช่วงหน้าร้อน ตอนเที่ยวเราจะไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก แต่จะนั่งเปิดแอร์อยู่ในห้อง เราเลยอาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนจริงๆของหน้าร้อน
ข้อดีของการไปเที่ยวช่วงหน้าร้อน
เรามาดูกันดีกว่าว่า ข้อดีของการไปเที่ยวช่วงหน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง
แต่งตัวง่าย
ข้อดีของการไปเที่ยวช่วงหน้าร้อนก็คือเราไม่ต้องเตรียมเสื้อผ้าอะไรเป็นพิเศษ ไม่เหมือนหน้าหนาว
ที่เราต้องเตรียมทั้งเสื้อ กางเกง รองเท้า ฮีตเทค และอุปกรณ์กันหนาวอื่นๆอีกมากมาย
เราสามารถแต่งตัวเหมือนปกติตอนที่อยู่เมืองไทยได้เลย โดยอาจจะพกหมวกหรือร่มติดตัวไว้ด้วยก็ได้ เพื่อไว้ใช้ที่เวลาที่เราต้องเดินอยู่ข้างนอกเยอะๆ
อีกอย่างก็คือเราอาจจะต้องพกเสื้อกันฝนหรือร่มติดตัวไว้ด้วย ก่อนที่เราจะต้องเดินทาง ให้เราเช็คพยากรณ์อากาศอีกสักหน่อย เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นมีสภาพเป็นเกาะ อากาศเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและอาจจะมีฝนตกบ้างถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าร้อนก็ตามแต่
เวลาเที่ยวเยอะ
อีกหนึ่งข้อดีของการไปเที่ยวช่วงหน้าร้อนคือเวลาเที่ยวที่เยอะขึ้น เพราะว่าพระอาทิตย์จะขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลาตีสี่ครึ่ง แล้วจะตกอีกทีในช่วงประมาณ 1 ทุ่ม ทำให้เรามีเวลาเที่ยวตลอดทั้งวัน
เพราะว่ามีช่วงเวลาอาทิตย์ขึ้นที่นานกว่าปกติ ทำให้สถานที่เที่ยวหลายๆที่นั้นจะเปิดเร็วขึ้นและปิดช้าลงอีกด้วย
ถ้าหากเราไปช่วงหน้าหนาวนั้น พระอาทิตย์อาจจะตกและเริ่มมืดตั้งแต่ตอน 5 โมงเย็น แต่ช่วงหน้าร้อนนั้น จะสว่างตั้งแต่ตอนตีสี่ตีห้า และจะเริ่มมืดก็ช่วงหกโมงถึงหนึ่งทุ่มเป็นต้นไป
ช่วงเวลาแห่งเทศกาล
ช่วงหน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่นคือช่วงเวลาแห่งเทศกาลอย่างแท้จริง โดยจะมีสองเทศกาลหลักๆที่จัดขึ้นทั่วทั้งประเทศ
ในช่วงหน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่นนั้น ศาลเจ้าดังๆของแต่ละจังหวัดจะมีจัดงานเทศกาลของตนเอง เช่น ที่เกียวโตก็จะมีจัดงาน “กิอง มัตสึริ” ที่ฟุกุโอกะมี “ยามากาซะ ฮากาตะ กิออน” ที่โตเกียวมีเทศกาล “มิตามะ” เป็นต้น
หากเราไปช่วงเทศกาล “ทานาบาตะ” เราจะเห็นชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเขียนคำอวยพรและห้อยไว้ที่ต้นไผ่ต่างๆ ทั้งตามศาลเจ้า สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และตามถนนคนเดินอีกด้วย
ภายในเทศกาลเหล่านี้ เราจะเห็นชาวญี่ปุ่นจำนวนมากใส่ชุดยูกาตะ เพื่อเข้าร่วมเทศกาลต่างๆ รวมถึงเทศกาลดอกไม้ไฟริมแม่น้ำหรือริมทะเลสาบ
อีกทั้งศาลเจ้าต่างๆจะมีการตกแต่งเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อนนี้ บางที่อาจจะติดโคมไฟเพิ่มเติม
และเทศกาลเหล่านี้นั้น ทำให้เราเห็นกลิ่นอายและวิถีชีวิตของคนในประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี ที่เราหาดูไม่ได้ในช่วงฤดูอื่นๆของประเทศญี่ปุ่น
ฤดูแห่งดอกไม้
นอกจากช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฤดูร้อนเรียกได้ว่าเป็นฤดูของการชมดอกไม้อีกฤดูของประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงฤดูร้อนนั้น จะมีดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์และหลากหลายสีสันบางสะพรั่งอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นดอกอะจิไซ ดอกอะยะเมะ ดอกฮะนะโชบุ ดอกยูริ
โดยไฮไลท์ของดอกไม้ในช่วงหน้าร้อนนี้นั้น ก็คงหนีไม่พ้นทุ่งดอกลาเวนเดอร์สวยๆที่เกาะฮอกไกโด
ข้อเสีย
หลังจากที่เราดูข้อดีกันไปแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าข้อเสียของการไปเที่ยวช่วงหน้าร้อนที่ประเทศญี่ปุ่น มีอะไรบ้าง
อากาศ
ข้อแรกเลยคือสภาพอากาศที่เรียกได้ว่าร้อนอยู่ระดับหนึ่ง
ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ร้อนเหมือนบ้านเรา แต่การเดินเที่ยวในอากาศร้อนเป็นเวลาก็อาจจะทำให้เราเพลียขึ้นมาได้
ฉะนั้นแล้ว เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน เราต้องบริหารเวลาและที่เที่ยวให้เป็นอย่างดี เพื่อที่เราจะได้ไม่ออกแดดมากเกินไปติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และจะทำให้เราเพลียแดดได้
โดยเราต้องสลับที่เที่ยวกลางแจ้งและที่เที่ยวในร่ม และคอยหลบแดดในช่วงเที่ยง เพื่อที่จะทำให้เรามีแรงเดินเที่ยวได้ตลอดทั้งวัน
ราคาที่พัก
ช่วงหน้าร้อนเป็นอีกหนึ่งช่วงที่คนญี่ปุ่นมักเดินทางเที่ยวภายในประเทศกัน ประกอบกับแต่ละจังหวัดจัดงานเทศกาลจำนวนมาก ทำให้ที่พักมีราคาที่สูงและเต็มเร็วกว่าปกติ
อีกทั้งหากเราเดินทางไปช่วงวันเทศกาลพอดี เรายิ่งต้องจองที่พักล่วงหน้าเป็นเวลานาน เพราะไม่อย่างนั้น ที่พักอาจจะเต็มหมดแล้วก็เป็นได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินทางกันหลายๆคน
สถานที่เที่ยว
หลังจากที่เรารู้ข้อดีข้อเสียของการมาเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงหน้าร้อนแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าสถานที่เราสมควรไปนั้นมีอะไรบ้าง
ฮอกไกโด
แม้จังหวัดฮอกไกโดจะเป็นที่ยอดฮิตสำหรับชาวไทยในหน้าหนาว แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นเองนั้น ช่วงเวลาที่พีคที่สุดสำหรับเกาะฮอกไกโดคือหน้าร้อน
เพราะว่านอกจากฮอกไกโดจะไม่ร้อนเหมือนเมืองอื่นแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อน ฮอกไกโดเป็นเกาะเกษตรกรรม มีแหล่งเพาะปลูกมากมาย รวมทั้งฟาร์มดอกไม้และฟาร์มผลไม้ และจะออกดอกออกผลกันเต็มที่ในช่วงหน้าร้อน
โดยเฉพาะที่ฟาร์มโทมิตะในเมืองฟุราโนะ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคมนั้น ดอกไม้จะบานเต็มที่เต็มหุบเขา สลับสีสันสวยงาม
ซึ่งจะมีทั้งดอกสวีทวิลเลี่ยมสีชมพูด ดอกแคลิฟอร์เนีย ป๊อปปี้สีเหลือง ดอกอิโซโทมะสีม่วงอ่อน ดอกเบบี้เบรทสีขาว และดอกไม้ท้องถิ่นอีกมายมาก
โดยไฮไลท์ประจำฟาร์มนี้คือทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสดใส ที่บานอวดโฉมสีม่วงทั่วทั้งฟาร์ม
อีกทั้งทีเมืองฟุราโนะนี้ยังเป็นแหล่งปลูกเมล่อนชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น และเราสามารถลองชิมริ้มรสได้ที่ฟาร์มนี้เช่นเดียวกัน
ในส่วนของฟาร์มผลไม้นี้นั้น ต้นเชอร์รี่จะออกผลพอดี ซึ่งเราสามารถไปที่ฟาร์มเชอร์รี่ต่างๆและเด็ดผลเชอร์รี่สดๆกินได้เลยทันที โดยเราสามารถกินได้เท่าไหร่ก็ได้อย่างที่เราต้องการ
นอกจากนี้นั้น ในตอนกลางคืน เรานังสามารถไปพักได้ที่ริมทะเลสาบโทยะ เพื่อนอนดูดอกไม้ไฟริมทะลสาบได้อีกด้วย
ฟุกุโอกะ
ที่ฟุกุโอกะมีเทศกาลประจำเมืองขนาดใหญ่ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปีที่เรียกว่าเทศกาล “ยามากาซะ ฮากาตะ กิออน”
เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่ผู้ชายญี่ปุ่นจำนวนมาก นุ่งผ้าเตี่ยว และแบกเกี้ยวขนาดใหญ่สูง 5 เมตร หนัก 1 ตัน และวิ่งแข่งขันกันทั่วทั้งเมือง
เราจะได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของชาวญี่ปุ่นทั้งผู้เข้าแข่งขันและผู้ชมได้เป็นอย่างจากในเทศกาลนี้
อีกทั้งในตัวเมืองฟุกุโอกะยังมีเกี้ยวขนาดใหญ่ที่สูงกว่า 10 เมตร หนักกว่า 2 ตัน วางกระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน สถาณีรถไฟ หรือสถานที่เที่ยวสำคัญๆภายในตัวเมือง
โดยในเกี้ยวนั้นจะมีทั้งถูกตกแต่งขึ้นเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ความเชื่อท้องถิ่น หรือแม้แต่ตัวการ์ตูนชื่อดังอย่างอิคคิวซังหรือโดราเอมอน
เทศกาลนี้จะถูกจัดขึ้นในระยะเวลาสองอาทิตย์ ทำให้เรามีเวลาพอที่จะเข้าชมเทศกาล และเที่ยวเมืองรอบๆจังหวัดฟุกุโอกะได้ ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนที่เมืองเบบปุ ชมเมืองโรแมนติกอย่างยุฟุอิน ไปเยี่ยมหมีดำจอมกวนที่เมืองคุมาโมโตะ หรือนั่งรถไฟไปชมภูเขาไฟอะโซก็เป็นได้
เกียวโต
เกียวโตเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่น และมีศาลเจ้าที่สำคัญมากมายอยู่ในเมืองแห่งนี้
ในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี ที่เมืองเกียวโตจะมีจัดงานเทศกาลกิองตลอดทั้งเดือน ที่เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลที่ดังและยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
ความพิเศษของงานเทศกาบกิองคือชาวเมืองเกียวโตจำนวนมากจะสวมชุดท้องถิ่นและรวมใจกันลากรถยามาโฮโกะ ซึ่งเป็นรถเกี้ยวขนาดใหญ่ สูง 25 เมตรและหนัก 12 ตันกันเลยทีเดียว
โดยจะไม่ได้มีรถเกี้ยวยามาโฮโกะแค่คันเดียว แต่จะมีมากถึง 33 คันกันเลยทีเดียว แต่ละคันก็จะถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงามบนรากฐานความเชื่อท้องถิ่น
นอกจากนี้แล้ว บนรถยามาโฮโกะยังมีคนมากกว่า 40 คนนั่งอยู่บนนั้น คอยเล่นกลองไทโกะ เป่าขลุ่ยญี่ปุ่น และตีฆ้องเพือเพิ่มบรรยากาศแห่งเทศกาลเข้าไปอีก
ถ้าเราไปเที่ยวเมืองเกียวโตในช่วงหน้าร้อนนั้น เราต้องเช็ควัน เวลา และเส้นทางของรถยามาโฮโกะเป็นอย่างดี เพื่อที่จะไปรอรับชมในจุดที่เหมาะสม อีกทั้งในบางวันนั้น จะมีการปิดถนนเพื่อทำเป็นถนนคนเดินพร้อมมีร้านแผงลอยให้เราได้ชิมอาหารท้องถิ่นอีกด้วย
นอกจากเทศกาลกิองแล้ว เรายังไปเที่ยวที่ต่างๆภายในเมืองได้ ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าจิ้งจอก วัดน้ำใส หรืออยากจะไปหลบร้อนที่ป่าไผ่อาราชิยามะหรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกียวโตก็ได้เช่นเดียวกัน
โตเกียว
หากใครอยากจะเห็นดอกไม้ไฟสวยๆจำนวนมากกว่า 20,000 ลูกที่จะจุดขึ้นริมแม่น้ำภายในคืนเดียว ต้องไปที่จังหวัดโตเกียว
ในช่วงประมาณเสาร์ที่สามหรือเสาร์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคมนั้น ที่จังหวัดโตเกียวจะมีจัดเทศกาลดอกไม้ไฟที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดไปประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า “เทศกาลดอกไม้ไฟแม่น้ำซุมิดะ” ที่ริมแม่น้ำซุมิดะ ซึ่งเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังวัดอาซากุสะ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามวัดโคมแดงนั้นเอง
เทศกาลดอกไม้ไฟแม่น้ำซุมิดะเป็นเทศกาลดอกไม้ไฟเก่าแก่ มีอายุมากกว่า 400 ปี และในแต่ละปีมีผู้เข้าชมดอกไม้ไฟมากกว่า 1 ล้านคน
โดยเราสามารถดูดอกไม้ไฟ้ได้จากหลากหลายจุด ไม่ได้ว่าจะเป็นปูเสื่อริมแม่น้ำ เดินตามทางดูดอกไม้ไฟที่ทางผู้จัดเทศกาลเตรียมไว้ให้ นั่งเรือชมดอกไม้ไฟ หรือจะไปที่โตเกียวสกายทรีก็เป็นได้
ดอกไม้ไฟจะถูกจุดขึ้นในช่วงประมาณ 6 โมงเย็นจนถึง 2 ทุ่มตามเวลาท้องถิ่น
เราสามารถเช็ควันจัดเทศกาลได้โดยตรงจากเวปไซส์ทางการของเทศกาลซุมิดะ แต่วันงานและโปรแกรมจัดอาจจะถูกเลื่อนได้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
หากใครอยากจะไปชมเทศกาลนี้ ต้องเตรียมตัวดีสักหน่อย เพราะมีเข้าชมเทศกาลจำนวนมากภายในวันเดียว ทำให้ที่พักหาค่อนข้างยาก และหากใครอยากจะนั่งปูเสื่อรอชมดอกไม้ไฟริมแม่น้ำ อาจจะต้องไปจองที่นั่งตั้งแต่ตอนเที่ยงเลยทีเดียว
ภูเขาไฟฟูจิ
หากใครใฝ่ฝันที่จะพิชิตภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์รวมใจชาวญี่ปุ่นอย่างภูเขาไฟฟูจิ สามารถมาปืนได้แต่ในช่วงหน้าร้อนเท่านั้น
โดยภูเขาไฟฟูจิจะเปิดให้คนทั่วไปเข้าไปปืนได้ตั้งแต่ช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมถึงช่วงกลางเดือนกันยายนของทุกปี เพราะเป็นช่วงที่หิมะละลายหมดแล้ว และเราสามารถปืนภูเขาไฟได้อย่างปลอดภัย
คนส่วนมากจะใช้เวลาการปืนภูเขาไฟฟูจิประมาณ 2 วัน โดยจะพัก 1 คืนบนที่พักภูเขาไฟ ซึ่งเราจะต้องจองไว้ล่วงหน้า
ถ้าใครฟิตหน่อยและสามารถปืนตอนกลางคืนได้ จะสามารถปืนเสร็จได้ภายในวันเดียว
เราสามารถปืนจากภูเขาไฟฟูจิได้จากหลากหลายเส้นทาง ทั้งทั้งขึ้นจากจังหวัดชิซุโอกะ และจากจังหวัดยามานาชิ โดยแต่ละเส้นทางก็จะมีความยากและความสูงที่แตกต่างกัน
เส้นทางที่นิยมที่สุดคือจากสถานีฟูจิ ซูบารุที่ 5 (Fuji Subaru Line 5th Station) เพราะเดินทางสะดวกที่สุด
หากใครอยากมาปืนที่ภูเขาไฟฟูจิ จะต้องฟิตร่างกายให้ดีหน่อย เพราะต้องใช้เวลาในการปืนเขาและลงเขาทั้งหมดมากกว่า 10 ชั่วโมง บนความสูง 2,300 เมตร ซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะ altitude sickness ได้
สุดท้ายนี้
หน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่นเป็นช่วงเทศกาลอย่างแท้จริง เพราะว่ามีเทศกาลมากมายให้เราชม อีกทั้งเรายังสามารถดูดอกไม้สวยๆและเก็บผลไม้ต่างๆได้อีกด้วย
นอกจากสถานที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีสถานที่อื่นๆของประเทศญี่ปุ่นที่เราสามารถไปได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลไหน ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช๊อปปิ้งต่างๆ ศาลเจ้า ปราสาท และที่เที่ยวทางธรรมชาติ
จะเรียกได้ว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เราสามารถมาเที่ยวได้ตลอดเวลาก็เป็นได้